การขุดคริปโทเคอร์เรนซีและผลกระทบทางภาษีในประเทศไทย ตามที่ระบุในข้อมูลข้างต้น มีประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้:-
การรับคริปโทเคอร์เรนซีจากการขุด
ณ วันที่ได้รับคริปโทฯ จากการขุด ยังไม่ถือเป็น "เงินได้พึงประเมิน" ตามกฎหมายภาษีอากรไทย จึงยังไม่มีการเสียภาษีในทันที
การเสียภาษีเมื่อมีการจำหน่ายหรือโอนคริปโทฯ
เมื่อคริปโทฯ ที่ขุดมาได้ถูก จำหน่าย, โอน, หรือแลกเปลี่ยน จะถือเป็น "เงินได้พึงประเมิน" ภายใต้ประมวลรัษฎากร มาตรา 40(8)
ผู้ขุดสามารถ หักค่าใช้จ่าย เช่น ค่าไฟฟ้า, ค่าซ่อมบำรุงคอมพิวเตอร์, หรือค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (เช่น ฮาร์ดแวร์) โดยต้องเก็บเอกสารประกอบอย่างครบถ้วน
การคำนวณต้นทุนคริปโทฯ
สามารถเลือกวิธีคำนวณต้นทุนได้ 2 วิธีหลัก:
FIFO (First-In, First-Out): คำนวณตามลำดับการได้รับเหรียญ
Moving Average Cost: คำนวณต้นทุนถัวเฉลี่ยเหรียญทั้งหมด
วิธีที่เลือกต้องคงใช้ตลอดทั้งปีภาษี
การวัดมูลค่าคริปโทฯ
ใช้มูลค่า ณ วันที่ได้รับ หรือราคาถัวเฉลี่ยในวันดังกล่าวจาก Exchange ที่น่าเชื่อถือ
การหักค่าเสื่อมราคา
ทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง เช่น คอมพิวเตอร์ สามารถทยอยหักค่าเสื่อมราคาตามกฎหมาย
หลักเกณฑ์การวัดมูลค่าคริปโทเคอร์เรนซีและภาษีที่เกี่ยวข้อง:
การวัดมูลค่าคริปโทฯ:
ใช้มูลค่า ณ เวลาที่ได้รับ หรือ ราคาถัวเฉลี่ยในวันที่ได้รับ ตามราคาอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ เช่น ราคาที่ประกาศโดย Exchange ซึ่งอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต.
ต้องเลือกวิธีการวัดมูลค่า (ตามราคาที่ได้รับหรือราคาถัวเฉลี่ย) และใช้วิธีนั้น ตลอดปีภาษี เพื่อความสม่ำเสมอ
การนำมูลค่าไปคำนวณต้นทุน:
หากได้รับเหรียญคริปโทฯ เป็นเงินเดือนหรือค่าจ้าง มูลค่าที่นำไปเสียภาษีครั้งแรก จะสามารถนำมาใช้เป็นต้นทุนในภายหลังเมื่อมีการขายหรือโอนเหรียญนั้น
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย:
หากมีการถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ในระหว่างปี (เช่น กรณีค่าจ้างหรือรายได้อื่น) สามารถนำภาษีที่ถูกหักนี้มาใช้เป็น เครดิตภาษี เมื่อยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90/91
การยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา:
กรณีรับคริปโทฯ เป็นค่าจ้าง: รายได้นี้ต้องแสดงในแบบ ภ.ง.ด. 90/91 ตามลักษณะรายได้:
มาตรา 40(1): หากเป็นเงินเดือนตามสัญญาจ้าง
มาตรา 40(2): หากเป็นค่าจ้างจากการรับจ้างทั่วไป
คำแนะนำ: ควรเก็บหลักฐานทุกครั้งที่ได้รับหรือโอนเหรียญ เช่น ใบเสร็จ, Statement จาก Exchange, หรือเอกสารภาษี เพื่อความชัดเจนในการจัดการต้นทุนและการยื่นภาษีที่ถูกต้อง.
หลักเกณฑ์เกี่ยวกับผลประโยชน์และผลตอบแทนจากการถือครองโทเคนดิจิทัลและคริปโทเคอร์เรนซี:
โทเคนดิจิทัล
ตัวอย่าง:
Yield Farming หรือ Staking
หลักเกณฑ์:
การเสียภาษี:
ผลตอบแทนหรือผลประโยชน์จากการถือครองโทเคนดิจิทัลถือเป็น "เงินได้พึงประเมิน" ตามมาตรา 40(4)
เช่น เงินส่วนแบ่งกำไรหรือผลประโยชน์ในลักษณะเดียวกัน
การคำนวณต้นทุนและรายได้:
ใช้มูลค่า ณ เวลาที่ได้รับ หรือ ราคาถัวเฉลี่ยในวันที่ได้รับ โดยอ้างอิงจากราคาที่ประกาศโดย Exchange ที่น่าเชื่อถือ
วิธีการที่เลือกใช้ต้องคงที่ตลอดทั้งปีภาษี
กรณีขายโทเคนดิจิทัลในภายหลัง:
มูลค่าที่ใช้เสียภาษีเมื่อได้รับครั้งแรกสามารถนำมาเป็นต้นทุนในการคำนวณภาษีเมื่อขายได้
การยื่นแบบแสดงรายการภาษี:
กรณียื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 ผ่านอินเทอร์เน็ต: แสดงในส่วนรายได้จากการลงทุน (เงินส่วนแบ่งกำไร หรือผลประโยชน์อื่นใดในลักษณะเดียวกัน)
กรณียื่นแบบกระดาษ: แสดงเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4) ประเภท "อื่น"
คริปโทเคอร์เรนซี
ตัวอย่าง:
Yield Farming หรือ Staking
หลักเกณฑ์:
การเสียภาษี:
ผลตอบแทนจากการถือครองคริปโทเคอร์เรนซีถือเป็น "เงินได้พึงประเมิน" ตามมาตรา 40(8)
เช่น รายได้จากธุรกิจ การพาณิชย์ หรือการอื่นที่ไม่ได้ระบุใน (1) - (7)
การคำนวณต้นทุนและรายได้:
ใช้มูลค่า ณ เวลาที่ได้รับ หรือ ราคาถัวเฉลี่ยในวันที่ได้รับ โดยอ้างอิงราคาที่ประกาศโดย Exchange ที่น่าเชื่อถือ
วิธีการที่เลือกใช้ต้องคงที่ตลอดทั้งปีภาษี
กรณีขายคริปโทฯ ในภายหลัง:
มูลค่าที่ใช้เสียภาษีเมื่อได้รับครั้งแรกสามารถนำมาเป็นต้นทุนในการคำนวณภาษีเมื่อขายได้
การยื่นแบบแสดงรายการภาษี:
กรณียื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 กระดาษ: แสดงเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) ประเภท "อื่น"
คำแนะนำเพิ่มเติม:
การจัดทำบัญชีและเก็บเอกสารประกอบ เช่น รายการรับเหรียญ, รายละเอียดการ Staking, และข้อมูลการซื้อขาย ถือเป็นสิ่งสำคัญในการยื่นภาษีอย่างถูกต้อง
ควรปรึกษาที่ปรึกษาด้านภาษีเพื่อความแน่ใจในกรณีที่มีรายได้จากคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัลที่ซับซ้อน.
ประเภทของเงินได้จากคริปโทเคอร์เรนซี เงินได้จากคริปโทเคอร์เรนซีแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่:
เงินได้จากการขุดคริปโทเคอร์เรนซี
ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตาม มาตรา 40(8) ซึ่งสามารถหักค่าใช้จ่ายจริง (เช่น ต้นทุนการขุด) ได้
กำไรจากการขายหรือโอนคริปโทเคอร์เรนซี
กำไรสุทธิ (ราคาขายหักด้วยต้นทุน) ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตาม มาตรา 40(4)
ผลตอบแทนจากการนำคริปโทเคอร์เรนซีไปหาประโยชน์
เช่น กำไรจากการ Staking หรือ Yield Farming ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตาม มาตรา 40(8)
การคำนวณต้นทุนของคริปโทเคอร์เรนซี ต้นทุนสามารถคำนวณได้โดยเลือกใช้วิธีดังนี้:
วิธีถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average Cost)
วิธีเข้าก่อนออกก่อน (FIFO)
วิธีอื่นที่เหมาะสมตามความสะดวก
หมายเหตุ: เมื่อเลือกวิธีการแล้วต้องใช้วิธีเดิมตลอดปีภาษี
การเปลี่ยนวิธีการคำนวณต้นทุนในปีถัดไป
หากเปลี่ยนวิธีการคำนวณต้นทุน จะต้องใช้มูลค่าของคริปโทเคอร์เรนซีที่คำนวณตามวิธีเดิมเป็นมูลค่าต้นทุน ณ วันที่ 1 มกราคมปีถัดไป
ไม่จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากร
การเก็บภาษีจากมูลค่าคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัล
ยังไม่ต้องเสียภาษี: หากยังถือคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัลไว้โดยไม่มีการโอน
ต้องเสียภาษี: หากมีการโอนหรือขายคริปโทเคอร์เรนซี และได้เงินเกินกว่าส่วนที่ลงทุน เช่น:
ลงทุนซื้อเหรียญด้วยเงินบาท 100 บาท
ขายเหรียญได้ 150 บาท
ต้องเสียภาษีจากกำไร 50 บาท (ส่วนเกินจากต้นทุน)
ข้อสรุป: การทำความเข้าใจประเภทของเงินได้และวิธีคำนวณภาษีอย่างถูกต้อง ช่วยลดความเสี่ยงจากการละเมิดกฎหมายและทำให้สามารถบริหารภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
การนำคริปโทเคอร์เรนซีสกุลหนึ่งไปแลกเป็นอีกสกุลหนึ่ง
ถือเป็นเงินได้พึงประเมิน: การแลกเปลี่ยนนี้ถือว่าเป็นการ "โอน" ตาม มาตรา 40(4)
หากราคาของคริปโทเคอร์เรนซีใหม่ที่ได้รับมีมูลค่าเกินต้นทุน (ราคาซื้อ+ต้นทุนอื่น) จะต้องเสียภาษีเฉพาะส่วนที่เกินจากต้นทุน
ตัวอย่าง:
นาย ก. ซื้อเหรียญ A มูลค่า 100 บาท แลกกับเหรียญ B มูลค่า 150 บาท
กำไรที่ต้องเสียภาษี = 50 บาท
การแลกเงินบาทเป็น BTC เพื่อโอนไปต่างประเทศ
หากมีการขายหรือแลกเปลี่ยนที่ส่งผลให้มูลค่าเกินต้นทุน จะถือเป็นเงินได้พึงประเมิน
ตัวอย่างเช่น การซื้อ BTC ในประเทศไทยแล้วขายในต่างประเทศ ถ้ามีกำไรจากการแลกเปลี่ยน จะต้องเสียภาษี
ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย BTC และผลกระทบต่อภาษี
ตัวอย่างการคำนวณ:
นายเอ ซื้อ BTC ราคา 100 บาท ค่าธรรมเนียม 1% (1 บาท)
ขาย BTC ราคา 100 บาท ค่าธรรมเนียมขาย 1% (1 บาท)
ต้นทุนรวม: 100 + 1 + 1 = 102 บาท
ผลลัพธ์: ขาดทุน 2 บาท (100 - 102)
ขาดทุนนี้สามารถนำไปหักกลบกำไรจากธุรกรรมอื่นในปีภาษีเดียวกันได้
การแลก BTC เป็น USDT
การแลกเปลี่ยนนี้ถือว่าเป็นการ "ขาย" BTC ด้วยราคาของ USDT
ตัวอย่างการคำนวณ:
นายเอ ซื้อ BTC ราคา 100 บาท ค่าธรรมเนียม 1 บาท
แลก BTC เป็น USDT ราคา 100 บาท ค่าธรรมเนียม 1 บาท
ต้นทุนรวม: 100 + 1 + 1 = 102 บาท
ผลลัพธ์: ขาดทุน 2 บาท (100 - 102)
ขาดทุนนี้สามารถนำไปหักกลบในปีภาษีเดียวกันได้
มูลค่า USDT ที่ถือไว้ยังไม่ต้องเสียภาษีจนกว่าจะมีการขาย
หมายเหตุ:การคำนวณต้นทุนและกำไรควรทำอย่างถูกต้อง และควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหรือกรมสรรพากรเพื่อความแน่นอน.
Credit: Revenue Departments
Comments