top of page
รูปภาพนักเขียนLocal Thai Tax and Accounting

"สายขุดต้องเซฟ! เทคนิคจัดการภาษีคริปโทแบบมืออาชีพ"



การขุดคริปโทเคอร์เรนซีและผลกระทบทางภาษีในประเทศไทย ตามที่ระบุในข้อมูลข้างต้น มีประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้:-


  1. การรับคริปโทเคอร์เรนซีจากการขุด

    • ณ วันที่ได้รับคริปโทฯ จากการขุด ยังไม่ถือเป็น "เงินได้พึงประเมิน" ตามกฎหมายภาษีอากรไทย จึงยังไม่มีการเสียภาษีในทันที

  2. การเสียภาษีเมื่อมีการจำหน่ายหรือโอนคริปโทฯ

    • เมื่อคริปโทฯ ที่ขุดมาได้ถูก จำหน่าย, โอน, หรือแลกเปลี่ยน จะถือเป็น "เงินได้พึงประเมิน" ภายใต้ประมวลรัษฎากร มาตรา 40(8)

    • ผู้ขุดสามารถ หักค่าใช้จ่าย เช่น ค่าไฟฟ้า, ค่าซ่อมบำรุงคอมพิวเตอร์, หรือค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน (เช่น ฮาร์ดแวร์) โดยต้องเก็บเอกสารประกอบอย่างครบถ้วน

  3. การคำนวณต้นทุนคริปโทฯ

    • สามารถเลือกวิธีคำนวณต้นทุนได้ 2 วิธีหลัก:

      • FIFO (First-In, First-Out): คำนวณตามลำดับการได้รับเหรียญ

      • Moving Average Cost: คำนวณต้นทุนถัวเฉลี่ยเหรียญทั้งหมด

    • วิธีที่เลือกต้องคงใช้ตลอดทั้งปีภาษี

  4. การวัดมูลค่าคริปโทฯ

    • ใช้มูลค่า ณ วันที่ได้รับ หรือราคาถัวเฉลี่ยในวันดังกล่าวจาก Exchange ที่น่าเชื่อถือ

  5. การหักค่าเสื่อมราคา

    • ทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง เช่น คอมพิวเตอร์ สามารถทยอยหักค่าเสื่อมราคาตามกฎหมาย


หลักเกณฑ์การวัดมูลค่าคริปโทเคอร์เรนซีและภาษีที่เกี่ยวข้อง:

  1. การวัดมูลค่าคริปโทฯ:

    • ใช้มูลค่า ณ เวลาที่ได้รับ หรือ ราคาถัวเฉลี่ยในวันที่ได้รับ ตามราคาอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ เช่น ราคาที่ประกาศโดย Exchange ซึ่งอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต.

    • ต้องเลือกวิธีการวัดมูลค่า (ตามราคาที่ได้รับหรือราคาถัวเฉลี่ย) และใช้วิธีนั้น ตลอดปีภาษี เพื่อความสม่ำเสมอ

  2. การนำมูลค่าไปคำนวณต้นทุน:

    • หากได้รับเหรียญคริปโทฯ เป็นเงินเดือนหรือค่าจ้าง มูลค่าที่นำไปเสียภาษีครั้งแรก จะสามารถนำมาใช้เป็นต้นทุนในภายหลังเมื่อมีการขายหรือโอนเหรียญนั้น

  3. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย:

    • หากมีการถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ในระหว่างปี (เช่น กรณีค่าจ้างหรือรายได้อื่น) สามารถนำภาษีที่ถูกหักนี้มาใช้เป็น เครดิตภาษี เมื่อยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90/91

  4. การยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา:

    • กรณีรับคริปโทฯ เป็นค่าจ้าง: รายได้นี้ต้องแสดงในแบบ ภ.ง.ด. 90/91 ตามลักษณะรายได้:

      • มาตรา 40(1): หากเป็นเงินเดือนตามสัญญาจ้าง

      • มาตรา 40(2): หากเป็นค่าจ้างจากการรับจ้างทั่วไป


คำแนะนำ: ควรเก็บหลักฐานทุกครั้งที่ได้รับหรือโอนเหรียญ เช่น ใบเสร็จ, Statement จาก Exchange, หรือเอกสารภาษี เพื่อความชัดเจนในการจัดการต้นทุนและการยื่นภาษีที่ถูกต้อง.



หลักเกณฑ์เกี่ยวกับผลประโยชน์และผลตอบแทนจากการถือครองโทเคนดิจิทัลและคริปโทเคอร์เรนซี:


โทเคนดิจิทัล

ตัวอย่าง:

  • Yield Farming หรือ Staking

หลักเกณฑ์:

  1. การเสียภาษี:

    • ผลตอบแทนหรือผลประโยชน์จากการถือครองโทเคนดิจิทัลถือเป็น "เงินได้พึงประเมิน" ตามมาตรา 40(4)

      • เช่น เงินส่วนแบ่งกำไรหรือผลประโยชน์ในลักษณะเดียวกัน

  2. การคำนวณต้นทุนและรายได้:

    • ใช้มูลค่า ณ เวลาที่ได้รับ หรือ ราคาถัวเฉลี่ยในวันที่ได้รับ โดยอ้างอิงจากราคาที่ประกาศโดย Exchange ที่น่าเชื่อถือ

    • วิธีการที่เลือกใช้ต้องคงที่ตลอดทั้งปีภาษี

  3. กรณีขายโทเคนดิจิทัลในภายหลัง:

    • มูลค่าที่ใช้เสียภาษีเมื่อได้รับครั้งแรกสามารถนำมาเป็นต้นทุนในการคำนวณภาษีเมื่อขายได้

  4. การยื่นแบบแสดงรายการภาษี:

    • กรณียื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 ผ่านอินเทอร์เน็ต: แสดงในส่วนรายได้จากการลงทุน (เงินส่วนแบ่งกำไร หรือผลประโยชน์อื่นใดในลักษณะเดียวกัน)

    • กรณียื่นแบบกระดาษ: แสดงเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4) ประเภท "อื่น"




คริปโทเคอร์เรนซี

ตัวอย่าง:

  • Yield Farming หรือ Staking

หลักเกณฑ์:

  1. การเสียภาษี:

    • ผลตอบแทนจากการถือครองคริปโทเคอร์เรนซีถือเป็น "เงินได้พึงประเมิน" ตามมาตรา 40(8)

      • เช่น รายได้จากธุรกิจ การพาณิชย์ หรือการอื่นที่ไม่ได้ระบุใน (1) - (7)

  2. การคำนวณต้นทุนและรายได้:

    • ใช้มูลค่า ณ เวลาที่ได้รับ หรือ ราคาถัวเฉลี่ยในวันที่ได้รับ โดยอ้างอิงราคาที่ประกาศโดย Exchange ที่น่าเชื่อถือ

    • วิธีการที่เลือกใช้ต้องคงที่ตลอดทั้งปีภาษี

  3. กรณีขายคริปโทฯ ในภายหลัง:

    • มูลค่าที่ใช้เสียภาษีเมื่อได้รับครั้งแรกสามารถนำมาเป็นต้นทุนในการคำนวณภาษีเมื่อขายได้

  4. การยื่นแบบแสดงรายการภาษี:

    • กรณียื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 กระดาษ: แสดงเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) ประเภท "อื่น"



คำแนะนำเพิ่มเติม:

  • การจัดทำบัญชีและเก็บเอกสารประกอบ เช่น รายการรับเหรียญ, รายละเอียดการ Staking, และข้อมูลการซื้อขาย ถือเป็นสิ่งสำคัญในการยื่นภาษีอย่างถูกต้อง

  • ควรปรึกษาที่ปรึกษาด้านภาษีเพื่อความแน่ใจในกรณีที่มีรายได้จากคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัลที่ซับซ้อน.


ประเภทของเงินได้จากคริปโทเคอร์เรนซี เงินได้จากคริปโทเคอร์เรนซีแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่:

  1. เงินได้จากการขุดคริปโทเคอร์เรนซี

    • ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตาม มาตรา 40(8) ซึ่งสามารถหักค่าใช้จ่ายจริง (เช่น ต้นทุนการขุด) ได้

  2. กำไรจากการขายหรือโอนคริปโทเคอร์เรนซี

    • กำไรสุทธิ (ราคาขายหักด้วยต้นทุน) ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตาม มาตรา 40(4)

  3. ผลตอบแทนจากการนำคริปโทเคอร์เรนซีไปหาประโยชน์

    • เช่น กำไรจากการ Staking หรือ Yield Farming ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตาม มาตรา 40(8)


การคำนวณต้นทุนของคริปโทเคอร์เรนซี ต้นทุนสามารถคำนวณได้โดยเลือกใช้วิธีดังนี้:

  1. วิธีถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average Cost)

  2. วิธีเข้าก่อนออกก่อน (FIFO)

  3. วิธีอื่นที่เหมาะสมตามความสะดวก

หมายเหตุ: เมื่อเลือกวิธีการแล้วต้องใช้วิธีเดิมตลอดปีภาษี


การเปลี่ยนวิธีการคำนวณต้นทุนในปีถัดไป

  • หากเปลี่ยนวิธีการคำนวณต้นทุน จะต้องใช้มูลค่าของคริปโทเคอร์เรนซีที่คำนวณตามวิธีเดิมเป็นมูลค่าต้นทุน ณ วันที่ 1 มกราคมปีถัดไป

  • ไม่จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากร


การเก็บภาษีจากมูลค่าคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัล

  • ยังไม่ต้องเสียภาษี: หากยังถือคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัลไว้โดยไม่มีการโอน

  • ต้องเสียภาษี: หากมีการโอนหรือขายคริปโทเคอร์เรนซี และได้เงินเกินกว่าส่วนที่ลงทุน เช่น:

    • ลงทุนซื้อเหรียญด้วยเงินบาท 100 บาท

    • ขายเหรียญได้ 150 บาท

    • ต้องเสียภาษีจากกำไร 50 บาท (ส่วนเกินจากต้นทุน)

ข้อสรุป: การทำความเข้าใจประเภทของเงินได้และวิธีคำนวณภาษีอย่างถูกต้อง ช่วยลดความเสี่ยงจากการละเมิดกฎหมายและทำให้สามารถบริหารภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ.




การนำคริปโทเคอร์เรนซีสกุลหนึ่งไปแลกเป็นอีกสกุลหนึ่ง

  • ถือเป็นเงินได้พึงประเมิน: การแลกเปลี่ยนนี้ถือว่าเป็นการ "โอน" ตาม มาตรา 40(4)

  • หากราคาของคริปโทเคอร์เรนซีใหม่ที่ได้รับมีมูลค่าเกินต้นทุน (ราคาซื้อ+ต้นทุนอื่น) จะต้องเสียภาษีเฉพาะส่วนที่เกินจากต้นทุน


    ตัวอย่าง:

    • นาย ก. ซื้อเหรียญ A มูลค่า 100 บาท แลกกับเหรียญ B มูลค่า 150 บาท

    • กำไรที่ต้องเสียภาษี = 50 บาท


การแลกเงินบาทเป็น BTC เพื่อโอนไปต่างประเทศ

  • หากมีการขายหรือแลกเปลี่ยนที่ส่งผลให้มูลค่าเกินต้นทุน จะถือเป็นเงินได้พึงประเมิน

  • ตัวอย่างเช่น การซื้อ BTC ในประเทศไทยแล้วขายในต่างประเทศ ถ้ามีกำไรจากการแลกเปลี่ยน จะต้องเสียภาษี


ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย BTC และผลกระทบต่อภาษี

  • ตัวอย่างการคำนวณ:

    • นายเอ ซื้อ BTC ราคา 100 บาท ค่าธรรมเนียม 1% (1 บาท)

    • ขาย BTC ราคา 100 บาท ค่าธรรมเนียมขาย 1% (1 บาท)

    • ต้นทุนรวม: 100 + 1 + 1 = 102 บาท

    • ผลลัพธ์: ขาดทุน 2 บาท (100 - 102)

  • ขาดทุนนี้สามารถนำไปหักกลบกำไรจากธุรกรรมอื่นในปีภาษีเดียวกันได้


การแลก BTC เป็น USDT

  • การแลกเปลี่ยนนี้ถือว่าเป็นการ "ขาย" BTC ด้วยราคาของ USDT

  • ตัวอย่างการคำนวณ:

    • นายเอ ซื้อ BTC ราคา 100 บาท ค่าธรรมเนียม 1 บาท

    • แลก BTC เป็น USDT ราคา 100 บาท ค่าธรรมเนียม 1 บาท

    • ต้นทุนรวม: 100 + 1 + 1 = 102 บาท

    • ผลลัพธ์: ขาดทุน 2 บาท (100 - 102)

  • ขาดทุนนี้สามารถนำไปหักกลบในปีภาษีเดียวกันได้

  • มูลค่า USDT ที่ถือไว้ยังไม่ต้องเสียภาษีจนกว่าจะมีการขาย


หมายเหตุ:การคำนวณต้นทุนและกำไรควรทำอย่างถูกต้อง และควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหรือกรมสรรพากรเพื่อความแน่นอน.


Credit: Revenue Departments

ดู 3 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page